ปิดการทำงานของ Destination Folder Access Denide

[TonyWins]

ระบบรักษาความปลอดภัยอีกตัวหนึ่งที่เข้มข้นมากใน Windows 8 ก็คือระบบ Destination Folder Access Denied นี่แหละ เจ้าระบบนี้จะคอยควบคุมไฟล์หรือโฟลเดอร์ของระบบต่างๆ ไม่ให้ถูกแก้ไขโดยง่าย แม้แต่การคัดลอกไฟล์ไปไว้ในโฟลเดอร์ที่ติดตั้งโปรแกรมต่างๆ มันก็จะแสดงไดอะลอกขึ้นมาแจ้งเตือนทุกครั้งไป หรือในกรณีการติดตั้งโปรแกรมที่จะต้องเข้าไปปิดการเชื่อมต่อกับ Host ของโปรแกรมอย่างเช่นโปรแกรมตระกูล Adobe ที่ต้องเข้าไปแก้ไขไฟล์ hosts นั้นก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน

เจ้าไดอะลอก Destination Folder Access Denied ที่คอยแจ้งเตือนขณะคัดลอกไฟล์ลงในโฟลเดอร์ที่ติดตั้งโปรแกรม


โฟลเดอร์ WindowsApps ซึ่งเป็นแหล่งจัดเก็บ Apps รูปแบบใหม่ของ Windows 8 (Metro Apps [ชื่อเดิม]) ที่มีระบบควมคุมความปลอดภัยสูง แม้แต่การเข้าไปในโฟลเดอร์ก็ไม่สามารถทำได้

วิธีการปิดการทำงานของเจ้า DFAD ให้กดคีย์ Windows + R จากนั้นพิมพ์คำว่า gpedit.msc แล้วเคาะ Enter

ในหน้าต่าง Local Group Policy Editor ให้เข้าไปที่ Computer Configuration > Windows Settings > Security Settings > Local Policies > Security Options ที่หน้าจอด้านขวาให้เลื่อนลงมาด้านล่างแล้วกำหนดค่าในส่วนต่างๆ ดังนี้

User Account Control: Behavior of the elevation prompt for administrators in Admin Approval Mode กำหนดค่าเป็น Elevate with out prompting (ถ้าเป็นค่านี้อยู่แล้วไม่ต้องกำหนดใหม่)

User Account Control: Detect application installations and prompt for elevation กำหนดค่าเป็น Enabled

User Account Control: Run all administrators in Admin Approval Mode กำหนดค่าเป็น Enabled

หลังจากกำหนดค่าเรียบร้อยแล้ว ระบบจะแจ้งให้ทำการรีบูทเครื่อง ก็ให้ทำการรีบูทซะ

เพียงเท่านี้เราก็จะไม่มีการแจ้งเตือนของ DFAD มากวนใจแล้ว ซึ่งสามารถเข้าไปในโฟลเดอร์ WindowsApps และคัดลอกไฟล์หรือโฟลเดอร์ต่างๆออกมาเพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาได้อีกด้วย แต่จะไม่สามารถแก้ไขไฟล์ในโฟลเดอร์นี้ได้ (มีวิธีแก้ไขอยู่ แต่ผมยังไม่แนะนำ เนื่องจากต้องเข้าไปแก้ไขค่าต่างๆ เพิ่มเติมอีกมากมาย และวุ่นวายพอสมควรในการแก้ไขกลับ)

ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นหลังการปิดระบบ DFAD ก็คือ เราจะไม่สามารถที่จะเรียกใช้งาน Apps ที่เป็น Metro Apps ในหน้าจอ Start ได้ โดยมันจะฟ้องดังภาพ วิธีแก้ไขก็คือการกลับไปแก้ค่าในส่วนของ Local Group Policy Editor ให้กลับเป็นเหมือนเดิม (หัวข้อสุดท้ายหัวข้อเดียว) ทำการรีบูทเครื่องก็เป็นอันใช้ได้แล้วครับ